ในโลกของเรามีคนมากมายที่เลือกจะใช้ชีวิตอย่างแตกต่าง พวกเขาใช้ความกล้าที่จะไม่เดินไปตามทางของคนอื่น เหมือนกับการที่ผมเลือกจะไม่เดินทางไปกับทัวร์ เลือกที่จะเช่ามอเตอร์ไซค์ 1 คัน ทำให้เราเห็นโลกกว้างด้วยตาเราเอง ผมคิดว่าคนทุกคนมีทางเลือก เลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างแตกต่างได้
ผมว่าการเดินทางเอง ไม่ใช่แค่การเที่ยวแบบประหยัด ไม่ใช่เรื่องของโรงแรมราคาถูก ไม่ใช่การเดินทางไปถ่ายรูปกับแลนด์มาร์คแล้วส่งให้เพื่อนดู เพื่ออวดชาวบ้าน แต่ผมคิดว่ามันคือการเดินทางไปเจอกับผู้คน มีเรื่องราวเล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของการผจญภัยจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้อีกคนหนึ่งไปทำสิ่งนั้นต่อ
การเดินทางครั้งนี้ ผมนั่งเครื่องบินจากท่าอากาศยานดอนเมือง ทุลักทุเลพอสมควร แบบไม่ชอบการตื่นเช้าไงคัฟ ตื่นมาก็งัวเงียกันเลยทีเดียว ออกมาขึ้น TAXI ก็ไม่รีบร้อนน่ะคัฟ เพราะผมมาก่อนเวลา
ที่สนามบิน คนเยอะมากเลย พอผมตรวจเอกสารพร้อมบัตรประชาชนเสร็จ ก็ขึ้นมารอบนเครื่อง (ง่วงมากคัฟ) ไม่ค่อยมีอารมณ์ถ่ายรูป
ผมอยู่บนเครื่องแว้วว.. |
หลังจากเช่ามอเตอร์ไซค์เสร็จ สถานที่แรกก็คงหนีไม่พ้น ** พระธาตุดอยสุเทพ ** แน่ๆ คัฟ ว่าแร้ว ผมก้อขอเป็นเด็กแว๊นซ์มอไซค์ทัวร์เมืองเชียงใหม่ก่อน
รถคันนี้แหละค้าฟ พาผมเที่ยวเมืองเชียงใหม่ |
มาถึงตีนดอย ผมเห็นคนมุงเยอะมากเลย แวะเข้าซะโหน่ย สถานที่กราบบูชา "ครูบาศรีวิชัย" ผมเคยเห็นแต่คนเข้าโพสต์กัน ไหว้ครูบาศรีวิชัย ก่อนขึ้นดอย ในที่สุดผมก็ได้มีโอกาสมากราบไหว้
แวะไหว้ครูบาศรีวิชัย ก่อนขึ้นดอย |
พระธาตุประจำปีเกิด (ครูบาศรีวิชัย) |
หลังจากกราบไหว้ครูบาศรีวิชัยเสร็จ ผมก้อแว๊นซ์ขึ้นดอยคร้าฟฟ ระหว่างทางเห็นนักปั่นจักรยานเต็มเบย ผมนี่อยากขี่บ้างเลย (เกิดกิเลสอยากมีจักรยานในครอบครอง) แต่ผมขี่รถอยู่คัฟ เลยไม่ได้ถ่ายรูปนักปั่นมา
มาเถิงแว้วพระธาตุดอยสุเทพ ด้านข้างเป็นศาลาพระครูบาศรีวิชัย แต่ผมไม่ได้ขึ้นไปค้าฟ เพราะไหว้จากด่านล่างมาแว้ว
ทางขึ้นพระธาตุค้าฟฟฟ |
มีเปิ้สสะก๊าดขายด้วยยยย |
เด็กดอยชวนถ่ายรูป ค่าบริการแล้วแต่เราจะให้ค้าฟฟฟ |
เตรียมพร้อมเดินขึ้นบันไดนาคเจ็ดเศียร เป็นปูนปั้นประดับกระจก บันไดนาคมีถึง 306 ขั้น แต่เท่าที่นับได้ 185 ขั้นน่ะค้าฟฟ
พร้อมขึ้นแว้ว บันไดนาค 306 ขั้น |
ขึ้นมาด้านบนแล้ว จะพบท้าวเวสสุวรรณโณ ทั้ง 2 ข้างเลยน่ะค้าฟฟ |
บรรยากาศด้านบนค้าฟ หลังจากขึ้นมาแว้วว |
ด้ายซ้ายมือจะเป็นจุดจำหน่ายดอกไม้ธูปเทียนค้าฟ (แล้วแต่ศรัทธาเลย) |
คำกล่าวบูชา กราบไหว้ พระธาตุ |
พระแก้วมรกต สวยงามมากๆๆ |
ขอถ่ายกับพระธาตุสักรูป |
หลังจากกราบไหว้พระธาตุเสร็จ ผมใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมงเลยคัฟ (แหะๆๆ ผมชอบถ่ายรูปอ่ะ) แล้วก็ไปต่อที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ และหมู่บ้านดอยปุยคัฟ
ของผมกางเกงยีนส์มีร่องรอยการขาดคัฟ เลยต้องเช่ากางเกงใส่ 15 บาท ค้าฟฟ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ต้องมาหน้าหนาว
ใส่แล้วนึกว่านักเรียนมาทัศนศึกษาเหอะค้าฟฟ |
ออกจากพระตำหนัก ผมก็แว๊นแมงกาไซค์ไปบ้านม้งดอยปุยต่อ ระหว่างทางเสียวฟุดๆๆ เบย กัวน้ำมันหมด รถแบบออโต้เมติกกินน้ำมันสุดๆๆเลย ราคาน้ำมันที่บ้างม้งดอยปุย อยู่ที่ขวดละ 50 บาทน่ะคัฟ เติมแบบกันตายกันไปก่อน
มาถึงบ้านม้ง ผมค่อนข้างผิดหวังน่ะ เพราะที่ผมจินตนาการไว้คือเด็กชาวเขาน่ารักๆๆ แต่ภาพความจริงที่เห็นคือ สถานที่ขายของ (ที่เราหาซื้อที่ไหนก็ได้คัฟ) ผมเลยไม่รู้จะถ่ายอะไร ก็ถ่ายกับป้ายซะโหน่ย
หลังจากขึ้นดอยเสร็จ ผมก็เริ่มกลับลงมา สิ่งแรกที่ทำก่อนเลย คือหาปั้มเพื่อเติมน้ำมันให้เต็มถัง เติมเต็มถัง 100 บาท คราวนี้ผมก็ตระเวนหาร้านข้าวกินก่อน เพราะตั้งแต่มายังไม่ได้กินเลย..หิวๆๆๆๆ
หิวจัดก็เลยลืมถ่ายร้านอาหารเลย แต่ขอบอกเลยร้านอยู่ซอยนิมมานต์คัฟ
เอาล่ะค้าฟ คราวนี้ผมก็จะเริ่มลุยไหว้พระ เพื่อขอพรและความเป็นสิริมงคลกับชีวิตของเชียงใหม่ ซะโหน่ย ซึ่งผมมีความเชื่อ(เฉพาะตัว) ว่าการเดินทางไปไหว้พระ 9 วัดให้ได้ในวันเดียวจะได้บุญมาก ที่เลือกจังหวัดเชียงใหม่ เพราะเชียงใหม่มีวัดวาอารามที่สวยงามสไตล์ล้านนา ซึ่งมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สวยๆโบราณเก่าแก่ อยู่มากมาย แต่การทำบุญไหว้พระ 9 วัดในหนึ่งวันเพื่อความรวดเร็วในการเดินทางจึงเลือกวัดที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก และเลือกไปที่วัดที่มีชื่อเป็นมงคล และอยู่ในตัวเมือง
ผมเริ่มที่วัดอุโมงค์ - วัดดวงดี - วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร - วัดพันเตา - วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร - วัดหมื่นเงินกอง - วัดชัยพระเกียรติ - วัดพันอ้น - วัดดับภัย - พระธาตุดอยคำ - วัดเกตุการาม รวมๆ แล้ว ทริปนี้ผมไหว้พระ ทำบุญ ได้ทั้งหมด 11 วัด เลยน่ะค้าฟ (ไม่รวมพระธาตุดอยสุเทพ + ครูบาศรีวิชัย)
วัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม)
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองเชียงใหม่ และตั้งอยู่บริเวณเชิงดอย
บริเวณทางเข้าวัดมองเห็นความร่มรื่นน่าเข้า |
เข้ามาด้านในจะมีป้ายบอกทาง |
สถานที่สงบเหมาะแก่การเดินเข้าไปครุ่นคิดปริศนาธรรม ตามแบบฉบับของท่านพุทธทาส เมื่อเข้าไปจะพบว่าแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
ทางเดินขึ้นด้านบนของอุโมงค์ร่มรื่น ธรรมชาติฟุดๆๆ |
พระเจดีย์ใหญ่แบบลังกาวงศ์ |
ด้านล่างเป็นอุโมงค์สามทางทะลุหากัน และมีทางออกด้านหลังยาวออกไป มีร่องรอยของจิตกรรมภาพที่ผนังซึ่งถูกลบเลือนไปใกล้จะหมดแล้ว
ทางเข้าอุโมงค์ |
บรรยากาศภายในอุโมงค์น่ะค้าฟฟ เมื่อเดินเข้าไปจะพบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ด้านหลัง
ห่างออกมาไม่ไกลมากก็จะเจอเสาหินอโศกจำลอง พิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติฯ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง เศียรพญานาคโบราญ โรงภาพปริศนาธรรม หอสมุดธรรมโฆษณ์ ศูนย์หนังสือพุทธธรรมและสถานที่น่าสนใจอีกมากมาย แต่ผมไม่ได้เดินไปคัฟ เพราะต้องไปต่ออีกหลายวัด แค่นี้ผมก็ซึมซับไปอิ่มทั้งธรรมมะอิ่มทั้งบุญ ถ้ามีโอกาสผมอยากมาปฏิบัติธรรมที่นี่น่ะคัฟ
วัดดวงดี
ตั้งอยู่บริเวณถนนพระปกเกล้า(อยู่ใกล้อนุสาวรีย์สามกษัตริย์) มาไหว้แล้วขอพรให้ดวงดีตลอดปีเหมือนกับชื่อวัด วัดดวงดีเป็นวัดที่มีศิลปะหลายๆอย่างให้ดูให้ศึกษาเป็นวัดที่มีศิลปะที่งดงามอีกแห่งหนึ่งของนครเชียงใหม่ เพราะเป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ ชื่อเดิมคือวัดต้นหมากเหนือ ในแต่ละวันมีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเข้าเยี่ยมชมเป็นจำนวนมากโดยมีความเชื่อว่าหลังจากหมดเคราะห์หมดภัยต่างๆ แล้ว ชีวิตจะเริ่มดีขึ้นดวงดีขึ้น ซึ่งวัดแห่งนี้เป็นที่รู้กันดีว่า ใครที่ซื้อรถใหม่ เป็นต้องมาเจิมป้ายทะเบียนที่นี้กันหมด
วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร
เป็นวัดที่งดงามอีกวัดหนึ่งของ ที่โดดเด่นคงเป็นพระเจดีย์หลวงเจดีย์อิฐโบราณที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ หน้าประตูวิหารมีบันไดนาคเลื้อยลงมาใช้หางกระหวัดขึ้นไปเป็นซุ้มประตู ถือว่าเป็นนาคที่งามที่สุดของภาคเหนือ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่บรรจุพระเกศาธาตุ และพระธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากนี้ยังมีความหมายอีกนัยหนึ่งของคำว่า “โชติการาม” คือ เวลาที่มีการจุดประทีปโคมไฟไปประดับบูชาองค์พระธาตุเจดีย์หลวง จะปรากฏจะปรากฏแสงสีสว่างไสว มองเห็นองค์พระเจดีย์คล้ายเชิงเทียนที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วงสว่างไสว ดูแล้วมีความงดงามยิ่งนัก สามารถมองเห็นได้แต่ไกล ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “วัดเจดีย์หลวง” เนื่องจากในภาษาเหนือ หรือคำเมือง หลวงแปลว่า “ใหญ่” หมายถึง พระธาตุเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่
เป็นวัดที่มีความสวยงามมากน่ะคัฟ แต่วันที่ผมไปตรงกับที่บวชสามเณรพอดี เลยไม่ได้เข้าไปถ่ายภายในโบสถ์ ได้แต่เพียงบรรยากาศรอบๆนอก (ถึงแม้อากาศจะร้อน แต่ผมก็สู้น่ะค้าฟ)
เริ่มสร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ. 1934 สมัยพญาแสนเมืองมา สมัยพญาติโลกราช โปรดให้สร้างเสริมให้มีส่วนสูง 80 เมตร ฐานสี่เหลี่ยมกว้าง ด้านละ 56 เมตรปรับรูปทรงเป็น แบบโลหะปราสาทของลังการูปลักษณ์ทรงเจดีย์แบบพุกาม ดัดแปลงซุ้ม ตรงสี่มุมของมหาเจดีย์ มีรูปปั้นช้างค้ำรายล้อมรอบองค์เจดีย์หลวงนั้นมี 28 เชือก การสร้างรูปปั้น ช้างนั้น เป็นการส่งเสริมกำลังเมืองในทางด้านไสยศาสตร์เพื่อให้เมืองมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีพิธีการ สักการบูชาพญาช้างทั้ง 8 เชือก เพราะเชื่อว่า จะทำให้เกิดสวัสดิมงคล นำความสงบสุขมาสู่บ้านเมือง ศัตรูไม่กล้า มารุกรานย่ำยีเมืองได้ เพราะชื่อพญาช้างที่ตั้งขึ้นนั้น เป็นพลังอำนาจก่อเกิดเดชานุภาพ อิทธิฤทธิ์ ข่มขู่บดบัง ขวางกั้น กำจัด ปราบปรามอริราชศัตรูที่จะมารุกราน ให้แพ้ภัยแตกพ่ายหนีไปเอง
วัดพันเตา
ถนนพระปกเกล้า ติดกับวัดเจดีย์หลวง วิหารเดิมเป็นหอคำหรือท้องพระโรงหน้าของพระเจ้ามโหตรประเทศ เป็นอาคารเครื่องไม้แบบพื้นเมือง ซุ้มประตูประดับไม้แกะสลักรูปนกยูงอันเป็นสัญลักษณ์ของเจ้านายฝ่ายเหนือซึ่งมองดูวิจิตรและสง่างาม
พระวิหารหอคำหลวงวัดพันเตา เดิมเป็นหอคำหรือท้องพระโรงหน้าของพระเจ้ามโหตรประเทศ เป็นอาคารเครื่องไม้แบบพื้นเมือง แต่มองด้านนี้อาจจะไม่ได้เห็นรายละเอียดของอาคารมากนักเพราะมีธงอยู่มากมายเต็มไปหมด เนื่องจากวันนี้เป็นวันทำบุญของวัด จึงได้มีการประดับธงจำนวนมากตั้งแต่ทางเข้าลึกเข้าไปจนสุดพระวิหารหอคำหลวง ซึ่งจะมองเห็นเจดีย์อยู่หลังพระวิหารตามแบบชาวเหนือ
ภายในพระวิหารหอคำหลวง ลักษณะของอาคารที่สร้างอย่างโอ่โถงกว้างขวาง ประดิษฐานพระพุทธรูปพระนามว่าพระเจ้าปันเต้า โดดเด่นอยู่ตรงกลางภายในวิหาร ซ้ายมือในรูปนี้ (เบื้องขวาขององค์พระพุทธรูป) เป็นอาสนสำหรับพระภิกษุสงฆ์
พระเจ้าปันเต้า พระพุทธรูปที่มีลักษณะงดงามพระประธานในพระวิหารหอคำหลวง วัดพันเตา |
วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร
วัดเก่าแก่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่มาช้านานมาวัดนี้เพื่อมากราบไหว้ขอพร พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของเชียงใหม่ ซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหารลายคำ วิหารทรงพื้นเมืองล้านนา วัดพระสิงห์มีพระอุโบสถและสถาปัตยกรรมพื้นเมืองล้านนาที่มีลวดลายแกะสลัก สวยงาม โดยเฉพาะพระเจดีย์ทรงปราสาท
โบสถ์ เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า |
ความเชื่อและวิธีการบูชา พระธาตุเจดีย์วัดพระสิงห์ถือเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีมะโรง (งูใหญ่) หากได้มานมัสการอย่างน้อยสักครั้งหนึ่งแล้ว จะเป็นมงคลสูงสุดทำให้อายุมั่นขวัญยืน มีความเจริญรุ่งเรืองตลอดไป
วิหารลายคำนี้มีลวดลายปูนปั้นที่สวยงามปราณีตบรรจงมาก |
รอบพระพุทธบาท |
พระพุทธสิหิงค์ หรือ พระสิงห์ |
วัดหมื่นเงินกอง
เป็นวัดที่มีชื่อมงคลซึ่งเหมาะกับการมาไหว้ขอพรทำบุญให้ตนเองได้มั่งมีศรีสุข มีเงินมีทอง อายุมั่น ขวัญยืน ที่สำคัญอย่าลืมไปไหว้พระธาตุหมื่นเงินกอง เพื่อทำบุญใส่บาตรพระธาตุประจำปีเกิด โดยมีพระธาตุจำลององค์เล็ก อยู่ริมรั้วของพระธาตุ เมื่อชีวิตเริ่มมั่นคงแล้ว ก็ให้มายังวัดหมื่นเงินกอง เชื่อกันว่า เพื่อให้มีเงินมีทองมาเก็บมากองเยอะๆ
แผนที่บอกสถานที่ต่างๆ ภายในวัดหมื่นเงินกอง |
วัดชัยพระเกียรติ
หลังจากที่ชีวิตหมดเคราะห์ภัย มีดวงชะตาชีวิตดีมั่นคง มีเงินมีทอง มีข้าวมีปลาอาหารพร้อมเพรียงแล้ว จึงให้มายังวัดชัยพระเกียรติ โดยเชื่อว่า จะนำมาซึ่งเกียรติยศ ชื่อเสียง ตำแหน่งต่างๆ เป็นชัยชนะให้กับชีวิต ทำบุญวัดนี้เพื่อเสริมสร้างเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ให้มีแก่ตัวตนของเรา ต่อจากนั้นให้เพิ่มความสมบูรณ์พูนสุข
รู้สึกหมดแรงมั่กๆๆเลยค้าฟฟ |
วัดพันอ้น
วัดพันอ้น ตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนิน ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2044 ในสมัยพระเมืองแก้ว สันนิษฐานว่าสร้างโดยขุนนางที่มียศเป็น “พัน” และชื่อว่า “อ้น” รวมกันเป็น “พันอ้น” ชื่อของวัด คาดว่าคงสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ความสำเร็จในชีวิตของตนเอง ซึ่งเป็นที่นิยมของคนในสมัยก่อน
พระเจดีย์สารีริกธาตุสิริรักษ์ |
พระเจดีย์สารีริกธาตุสิริรักษ์ อยู่ด้านข้างพระวิหาร สร้างขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2550 ทดแทนองค์เดิมพังทลายลงเมื่อปี พ.ศ. 2549 เนื่องจากฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน น้ำฝนซึมเข้าไปในรอยร้าวขององค์เจดีย์ เจดีย์องค์ใหม่นี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานนามเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. พ.ศ. 2550 ศิลปะล้านนาหุ้มด้วยทองจังโกทั้งองค์ ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม เหนือขึ้นไปเป็นฐานเหลี่ยมย่อเก็จมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ในซุ้มจระนำทั้ง 4 ด้าน ถัดขึ้นไปเป็นชั้นมาลัยเถาแปดเหลี่ยมซ้อนกัน 5 ชั้น รับกับองค์ระฆังทรงกลมสีทอง ส่วนยอดเป็นฉัตรสีทอง 7 ชั้น
พระพุทธชินราชจำลอง พระประธานภายในวิหาร |
วัดดับภัย
ตั้งอยู่ ถนนสิงห์ราช ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เดิมชื่อ “วัดอภัย” หรือ “วัดตุงกระด้าง” มีตำนานเล่าว่า เมื่อพญาอภัยล้มป่วยทำการรักษาอย่างไรก็ไม่ทุเลา จึงตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าหลวงพ่อดับภัย อาการเจ็บป่วยก็หายไปพลัน พญาอภัยจึงให้บริวารลูกหลานตั้งบ้านเรือนบริเวณวัด และบูรณะปฏิสังขรณ์ จึงเรียกชื่อใหม่ว่าวัดดับภัย เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบพื้นเมืองล้านนา วัดแห่งนี้มีบ่อน้ำอยู่หน้าวิหาร เชื่อว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ สมัยพระเจ้าอินทวโรรส เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 8 เสด็จกลับจากกรุงเทพ ฯ ต้องแวะมาวัดดับภัย เพื่อนำน้ำในบ่อนี้ไปสรงน้ำพระพุทธมนต์ ก่อนแวะไปวัดเชียงยืนเพื่อ วัดนี้เป็นอีกหนึ่งวัดท็อปฮิตของผู้ที่มาเจิมรถใหม่ป้่ายแดง หรือรถใหม่เราแต่เก่าคนอื่น คงจะเป็นเพราะชื่อวัดคนจึงเอารถมาเจิมเพื่อให้เกิดสิริมงคล
เพื่อมาไหว้ขอพรหลวงพ่อ ดับภัย ซึ่งมีตำนานเล่าลือถึงถึงการดับเภทภัยให้กับผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการป่วยไข้ หรือการดับเคราะห์ดวงชะตา ในวัดมีบ่อน้ำที่เรียกว่าบ่อน้ำดับภัย เชื่อว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ นำไปสรงน้ำพระพุทธมนต์หรือเพื่อสืบดวงชะตาได้
หมดเวลาของคืนแรกแว้ววค้าฟ พักผ่อนหาข้าวหม่ำ ๆๆ ก่อนไปเดินถนนคนเดิน (เสียใจฟุดๆๆ) นั่งกินข้าวที่ประตูท่าแพ ฝนตกพร่ำๆๆ อดไปเดินถนนคนเดินเลย ผมเลยต้องเปลี่ยนแผนคัฟ ไปนั่งร้านของพี่โน้ตอุดมแทน
มุมยอดฮิต |
หมอนซุกมือของพี่โน้ต |
หมดแรงแล้วค้าฟสำหรับคืนนี้ กินอิ่มนอนหลับ คืนนี้ผมนอนที่ B2 นิมมาน ผมเหนื่อยฟุดๆๆ กลับถึงห้อง อาบน้าม หมดแรง หลับสนิทตลอดคืน เพราะพรุ่งนี้ ผมตั้งใจจะไปไหว้พระธาตุดอยคำ และวัดเกตุการามด้วยคัฟ (สำหรับคืนนี้.. ฝันดีค้าฟฟ)
พระธาตุดอยคำ
เดินทางไปได้ตามเส้นทางเลียบคลองชลประทาน จะมีป้ายบอกข้ามคลองไปทางตำบลแม่เหียะ จะพบทางขึ้นเขาไปยังพระธาตุดอยคำ ตามประวัติ เมื่อ พ.ศ. 2509 วัดอยคำเป็นวัดร้าง ต่อมากรุแตกชาวบ้านพบโบราณวัตถุหลายชิ้น เช่น พระรอดหลวง พระหินทรายปิดทององค์ใหญ่ พระสามหมอ (เนื้อดิน) ซึ่งนำมาประดิษฐานไว้ ณ วัดพระธาตุดอยคำ พระธาตุดอยคำนอกจากจะเป็นที่สักการะบูชาของคนท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์อีกแห่งหนึ่งของการบินไทยที่ใช้กำหนดพื้นที่ทางสายตา ก่อนที่จะลงจอดที่สนามบิน
ระหว่างเดินทางถึงแม้ว่าเส้นทางจะแสนคดเคี้ยว ลาดชั่น แค่ไหน พอมาถึงเขตบริเวณวัด ความเหนื่อย ความกังวล ก็ต้องสะดุดเมื่อเห็นพระพุทธรูป ตั้งตระง่าน แก้มปริยิ้ม เหมือนพลอยยินดีกับเราที่ได้เดินทางมาถึงอย่างปลอดภัย ในใจก็แอบยิ้ม ๆ เลยขอเดินเที่ยวชมบรรยากาศรอบวัด
หลังจากเดินเที่ยวชมบรรยากาศรอบวัดจนเพลิดเพลิน เลยฉุดคิดขึ้นได้ว่า คงได้เวลาที่จะเข้านมัสการหลวงพ่อทันใจ ยังตัวพระธาตุซักที หลังจากเข้ามา ก็กราบไว้ขอพร โดยจะมีสิ่งศักดิ์คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ประจำอยู่ทุกมุมของพระธาตุ
พวงมะลิกองโต หลาย ๆ กอง มาเรียงราย ทั้งนี้เนื่องจากว่า หลวงพ่อทันใจหากใครได้เข้ามาขอพร ให้ประสบความสำเร็จ เรื่องหน้าที่ การงาน เรื่องภาระหนี้สิน เรื่องค้าขาย เรื่องขอให้แคล้วคาดอันตรายทั้งปวง หลังจากที่ประสบผลแล้ว ก็จะกลับมาถวายพวงมาลัย 50 พวงขี้นไป
ที่นี่ไม่มีจำหน่ายธูปเทียนหรือดอกมะลิน่ะ แต่ระหว่างทางที่ขับรถผ่านมาจะมีจำหน่าย พวงละ 5 บาท
นำพวงมาลัยดอกมะลิมาแก้บน "หลวงพ่อทันใจ" |
จุบธูปเพื่อไหว้สักการะ และขอพร |
ลานจุดชมวิว สามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองเชียงใหม่ |
เข้าไปกราบไหว้พระประทานด้านใน |
เดินเวียนเทียนรอบพระธาตุ 3 รอบ เพื่อความเป็นสิริมงคล |
อนุสาวรีย์ช้าง |
หลังจากลอดท้องช้างเสร็จแล้ว ก็เดินตรงออกมา จะเห็นองค์พระ ก็ขึ้นไปกราบไหว้ขอพร
ขนมขายดีที่สุดเลยค้าฟ มีไส้ให้จิ้มด้วย |
ขายชุดละ 20 บาท น่ะค้าฟฟ |
วัดเกตุการาม
สำหรับผู้ที่เกิดปีจอ พระธาตุประจำปีเกิดคือพระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งตามพุทธประวัติกล่าวไว้ว่า ประดิษฐานพระทันตธาตุที่พระอินทร์นำมาจากพระบรมธาตุ ที่โทณพราหมณ์ได้แอบซ่อนไว้ เมื่อครั้ง มีการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าแก่เจ้าเมืองต่างๆ ด้วยเหตุที่พระธาตุเจดีย์องค์นี้มนุษย์ ไม่สามารถเดินทางไปถึงได้ ดังนั้นนอกจากมนัสการด้วยการ บูชารูปแล้วยังสามารถบูชาพระเจดีย์ที่วัดเกตุการาม หรือ วัดสระเกตุ เชียงใหม่ ซึ่งมีชื่อพ้องกับพระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์.......สถานที่บูชา ธูป เทียน และของไหว้พระธาตุ |
ทำบุญตามจิตศรัทธาน่ะค้าฟฟ |
ใครเกิดปีอะไร หยิบได้เลยน่ะค้าฟฟ |
เป็นแผ่นพับ.. บอกว่าใครเกิดปีอะไร ต้องไปไหว้พระธาตุที่ไหนน่ะค้าฟ |
ภายนอกวิหาร สวยงามมาก |
พระประธานในพระวิหาร |
ด้านในวิหารก็สวยงามมาก |
พระอุโบสถหลังเล็กที่อยู่ด้านหน้าวิหาร ไม่เปิดให้เข้าชม ใช้เฉพาะในพิธีอุปสมบทเท่านั้น และห้ามผู้หญิงเข้า |
เจดีย์พระธาตุเกษแก้วจุฬามณี ซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีจอ |
![]() |
คำบูชาพระธาตุเกษแก้วจุฬามณี |
กราบไหว้บูชาสักโหน่ยค้าฟฟ |
ชุดของไหว้สักการะพระธาตุน่ะค้าฟ |
หลังจากกราบไหว้พระธาตุเรียบร้อย คราวนี้ผมดูเวลา 13.00 แล้วค้าฟ ผมก็ต้องรีบแว๊นอย่างเร็ว เพราะต้องเอามอไซค์ไปคืนที่ร้าน แล้วต้องรีบไปขึ้นเครื่อง เครื่องออก 14.50 น. รีบบิด แต่พอผ่านร้านเปิ้สสะกาดผมก็ไม่สนอะไรแล้ว ขอสักหน่อยน่ะ
เจอรถติดอีกค้าฟ มีขบวนแห่อะไรสักอย่างผมจำไม่ได้ ติดยาวเลยคัฟ ผมก็ลัดเลาะตามซอย กว่าจะถึงร้านเช่ามอไซค์ก็เกือบ บ่ายสอง รีบกระโดดขึ้นรถแดงคัฟ ต่อรองราคาแป๊บนึง ไปส่งสนามบิน คุณลุงคิดที่ 50 บาท เอาว่ะ ไม่ทันแล้ว ยังไงก็ต้องยอมจ่าย
คุณลุงไม่ทำให้ผิดหวังคัฟ เพราะถึงจะเจอสถานการณ์รถติดตรงประตูท่าแพ คุณลุงรถแดงก็ขับพาเข้าซอยทะลุซอยนี้ออกซอยนั้น จนทำให้ผมมาถึงสนามบินเวลา 14.20 น.
เซ็งอ่ะ พอมาเช็คอินรับตั๋ว ระหว่างนั่งรอเครื่องออก มีประกาศว่าเครื่องจะออกช้า ครึ่งชั่วโมง ผมล่ะเซ็งเลย อุตส่าห์รีบซะ แต่ก็น่ะมีเวลานั่งพัก ยอมรับว่าเหนื่อยน่ะคัฟกับทริปนี้ แต่ก็มันส์ๆๆ และก็อิ่มบุญด้วย
บ๊ายบายเชียงใหม่.... มีโอกาสคราวหน้าผมมาอีกแน่...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น